ยินดีต้อนรับ ... ทุกท่านค่ะ
เนื้อหาที่ท่านดาวน์โหลดไปนี้
อนุญาติให้นำไปเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ ของพุทธศาสนิกชนทุกท่าน
แต่ห้ามนำไปจำหน่ายเพื่อการค้า หรือนำไปทำให้เกิดความเสียหาย
พระพุทธศาสนาโดยเด็ดขาด
หมายเหตุ
ผู้จัดทำเว็บ จำแหล่งที่มาและชื่อผู้เขียนไม่ได้ แต่ก็ขออนุญาตนำมาลงไว้ให้ผู้สนใจได้อ่านกัน ส่วนดีที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผู้จัดทำขอมอบให้แก่เจ้าของบทความดังกล่าวนั้นทุกประการ
Email : Wat-buddha-Apa@web.de
ไม่ได้อ้างอิงเพราะว่า ได้มาจากการศึกษาตำราหลายๆเล่ม จน จำไม่ได้ว่า ตัวใหน ยกมาจากเล่มใหน และความหมาย หลายๆ ตัวก็อาจมีความผิดผลาด คลาดเคลื่อน จากสัจจะ หากท่านผู้รู้อ่านแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ชี้แนะด้วยนะครับ จะได้แก้ไข ต่อไปเจริญในธรรมครับ
เราเกิดมาจากไหน ?..... ........ ชีวิตเรามาจากไหน ?
เราเกิดมาเพื่ออะไร ?.............. ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร?
เราตายแล้วจะไปไหน ? ....... ชีวิตเราตายแล้วจะไปไหน?
ความจริงของชีวิตเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น ทำให้เรารู้ความจริงว่า คนเราเกิดมาเพื่อกินให้อร่อย นอนให้หลับสบาย มีครอบครัวที่อบอุ่น สร้างชื่อเสียง เกียรติยศประดับครอบครัว (กิน นอน กาม เกียรติ)
บัดนี้เรารู้ความจริงจากพระพุทธองค์แล้วว่า สัตว์โลกเคยเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏสงสาร ทั้งในนรกโลก เปรตโลก อสูรกายโลก สัตว์เดรัจฉานโลก มนุษย์โลก
เทวโลก พรหมโลก มาเป็นเวลาอันยาวนาน สัตว์โลกเคยพบความแก่ ความเจ็บ
ความตาย ความพลัดพราก จากคนรัก สิ่งชอบใจ มาหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น
หลายแสน หลายล้าน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ชาติมาแล้ว สัตว์โลกเคยพบกับความเศร้า
ความโศก ความวิปโยค ความเสียใจ ความไม่สมหวัง ความทุกข์ ความระทมขมขื่น
ความสูญเสีย ความอาลัย ความพลัดพราก ความร้องไห้ ความเครียด ความเจ็บปวด
ความชอกช้ำระกำทรวง ความทรมานกายใจ มายาวนานจนนับชาติไม่ถ้วน
จนไม่รู้ว่าน้ำตา สายเลือด จะยิ่งใหญ่มากมาย
เท่าทะเลมหาสมุทร หากเอากระดูกแต่ละภพแต่ละชาติมากองรวมกัน
พระพุทธองค์ตรัสว่า
สูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัย ที่สูงที่สุดในโลกเสียอีก สมัยเราเป็นทารก
จึงร้องไห้แล้วร้องไห้อีก ก็เพราะเห็นสัจธรรมความจริงว่า…
เมื่อไรหนอ ! เราจึงจะหลุดพ้นจาก ความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร
อันเป็นทุกข์พบ นิพพานอันเป็นสุขเสียที
เมื่อไรหนอ ! เราจึงจะหลุดพ้นจากกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด อุปาทานสี่ กรรมสิบห้า
มิจฉาทิฏฐิ หกสิบสอง อวิชชาแปด พบวิชชา ปัญญา อันทำให้เราพบสุข คือ นิพพานได้ในที่สุด
เมื่อไรหนอ ! เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ไม่ตายเสียก่อนได้ฟังธรรม
ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ได้บรรลุธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้พบสัจธรรม
อันได้แก ่มรรค ผล นิพพาน ในปัจจุบันชาตินี้แล
เมื่อไรหนอ ! เราจะเบื่อชีวิตฆราวาสผู้ครองบ้าน ครองเรือน เบื่อรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส กามตัณหา เบื่อลาภ เบื่อยศ เบื่อเกียรติ เบื่ออำนาจ เบื่อบริวาร เบื่ออัตตา ตัวตน เรา
เขา สัตว์ บุคคล แล้วได้ออกบวชบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ ได้เป็นสาวกภิกษุ ในพุทธศาสนา
บำเพ็ญประโยชน์ตน ประโยชน์สัตว์โลก ด้วยความไม่ประมาท จนหลุดพ้นจากทุกข์
โทษภัยเวรในวัฏฏสงสาร ชั่วนิรันดร์
เมื่อไรหนอ ! เราจะตัดอาลัย ห่วงใย ในความมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีเพื่อน มีงาน มีเรียน มีบ้าน
มีทรัพย์ มีลูก มีหลาน มีเหลน มีเกียรติ มีอำนาจ มีชื่อเสียง มีตัว มีตน มีทุกสิ่ง ทุกอย่าง
จนสละ ละ ว่าง วางเฉย หมดอาลัยอาวรณ์ เสน่หา รักใคร่ หลงไหล ดื่มด่ำ มัวเมา เสียได้
เมื่อไรหนอ! เราจะเป็นนักบวชผู้สันโดษ มักน้อย ไม่สะสม ไม่คลุกคลีหมู่ชน
ไม่กำหนัดในกามทั้ง 5 ไม่เสพเมถุนธรรม ไม่ติดที่อยู่ ไม่ยินดีกับที่พัก ไม่มีอนาคต
ไม่โต้เถียงขัดแย้งใครๆในโลก เที่ยวไปแต่ผู้เดียว เสมือนแรดมีเขาหน่อเดียว
เมื่อไรหนอ! เราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ สรรพสิ่งในโลกนี้
สรรพสัตว์ในโลกทั้งปวง และโลกทั้งปวงมีความไม่เที่ยง ไม่ถาวร ไม่มั่นคง
ไม่คงทน ไม่ตั้งมั่น ไม่อยู่นาน ต้องผุพัง เสื่อมสลายในที่สุด ทั้งสิ้น
เมื่อไรหนอ! เราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพชีวิต
สรรพสิ่งในโลกนี้และโลกทั้งปวง ล้วนเคลื่อนไปสู่ความสลาย ความแตก ความดับ
ความพินาศ ความล่มจม ความพลัดพรากในที่สุด
เมื่อไรหนอ! เราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ สังขารทั้งปวง
ล้วนไม่มีตัวตนไม่เป็นแก่นสาร ไม่เป็นอมตะถาวร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ตัวตนเราของเรา ตัวตนใครของใครไม่มีในโลก เราไม่มี ใครๆก็ไม่มี
ตัวเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครๆ เพราะตัวเราของเรา
ตัวใครของใครไม่มีในโลก แห่งความจริง
เมื่อไรหนอ! เราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ล้วนเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ
ตั้งอยู่เป็นอยู่ก็เพราะยังมีเหตุ ดับไป เสื่อมไป สลายไป หมดไป ตายไป
ก็เพราะหมดเหตุ จึงรู้ความจริงว่า มีเหตุเพราะมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฏฐิ กรรม
อวิชชา ตั้งอยู่เป็นอยู่ก็เพราะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฏฐิ กรรม อวิชชา ยังมิสิ้น
ยังมีเชื้อ หมดไปตายไปไม่มาเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เพราะสิ้นกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฏฐิ กรรม
อวิชชา
เมื่อไรหนอ! เราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่ง สรรพชีวิต
ล้วนมีความเกิดเป็นธรรมดา มีความเป็นอยู่เป็นธรรมดา
และมีความดับไปเป็นธรรมดา ใครๆจะบังคับบัญชาให้ตั้งมั่นสถาพรชั่วนิรันดร์มิได้
เมื่อไรหนอ! จะมีใจเข้าถึงกูไม่เอากับมึงแล้ว กูไม่ติดใจมึงแล้ว กูมิยินดี พอใจ หลงใหล
รักใคร่มึงแล้ว กูไม่อาลัยอาวรณ์มึงแล้ว กูคลายละ สละคืนทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ของเราอีกต่อไปชั่วนิรันดร์
เมื่อไรหนอ! จะรู้ความจริงว่านิมิตหมายทั้งหลาย ทั้งปวงของสัตว์โลก
ล้วนไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงจึงควรคลายละปล่อยวาง สละคืน ไม่กำหนัด
ไม่ยินดี ไม่พอใจ ไม่ขัดเคือง ไม่ฝังใจ กับสิ่งทั้งปวงอีกต่อไปชั่วนิรันดร์
เมื่อไรหนอ! จะรู้สัจธรรมความจริงว่าสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ ในโลกนี้ ล้วนแตกดับล้มตาย
สิ่งใดแตกดับ ล้มตาย ต้องพินาศ สิ่งนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จนปล่อย สละ ละ ว่าง วาง เฉย ได้ในที่สุด
เมื่อไรหนอ! จะเห็นสัจธรรมความจริงว่าสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ ล้วนไม่มีตัวตนถาวร
จนจิตเห็นสัจธรรมว่า ตัวเราไม่มี เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครๆ
ใครๆก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับเรา
จนจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ธรรมทั้งปวงพบอมตะธรรม
คือ พระนิพพาน ในปัจจุบันชาตินี้เทอญ
เมื่อไรหนอ! เราจะได้บวช เมื่อบวชแล้วเราจะไม่แสวงหาเดรัจฉานวิชา
อันนำชีวิตเราไปสู่อบายภูมิ เวียนว่าย ตายเกิด ไม่มีทางสิ้นสุด
เมื่อบวชแล้วเราจะได้พบวิสุทธิอาจารย์อันจะนำเราได้ฟังพระสัทธรรมความจริงแท้
เมื่อฟังแล้วเกิด โยนิโสมนัสสิการ จนเกิดศรัทธา
ความเคารพเลื่อมใส จนเกิดได้ความไม่ประมาท อันเป็นทางให้กายใจบริสุทธิ์
จนเกิดเป็นศีลอริยะ แล้วนำความปิติปราโมทย์ มาสู่ชีวิต จนกว่าให้ได้สมาธิ
จนเกิดเป็นอำนาจฌาน ๑ - ๔ สมาบัติ ๕ - ๘ แล้วเป็นผลทำให้เกิดญาณ ๑๖
ทำให้เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด คลายความขัดเคือง
ความหลงยึดติดในสิ่งทั้งปวง จนจิตเราพบพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สงบ ผู้บริสุทธิ์
ผู้เป็นสุขอันอมตะ คือ นิพพาน ในปัจจุบันนี้เทอญ