โรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มีผู้ป่วย จำนวนมากนำ ใบฮว่านง็อก ไปทานแล้วอาการดีขึ้นจนหาย ส่วนจะต้องทานนานแค่ไหน แล้วแต่อาการหนักเบาของแต่ละคนครับ
เพื่อให้เกิดผลดีควรทานใบสด(เคี้ยวระเอียด)1ชั่วโมงก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ7ใบ วันละ2ครั้ง สำหรับคนป่วยที่อาการไม่หนักมากถ้าอาการหนักเพิ่มเป็นวันละ3ครั้งครับ ยินดีด้วยครับมีแหล่งซื้อต้นยาใกล้บ้าน ถ้ามีปัญหาอะไรอีก สอบถามมาได้
ผมอยู่ 42/56 ม.ประทับใจ ต.ดาวเรือง อ.เมือง จ.สระบุรี 18270
ผู้จัดการแผนกจัดส่งทั่วประเทศ ด้วยครับ บอส 086 065 - 9711 ทางเราจะรีบจัดส่งให้ครับ
มีจำหน่ายที่ คลอง6ประทุมธานี ติดต่อได้ที่ 084-123-9931 ที่จันทบุรีติดต่อได้ที่
086-300-1934 ที่หนองมน ชลบุรี ติดต่อได้ที่ 083-606-1436 ค่ะ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ใบว่าน 085 - 813 - 8821
สูตร ต้านมะเร็ง เนื้องอก
นำใบมะละกอมาตากแห้ง แล้วเอามาหั่นเหมือนใบชา ต้มน้ำดื่ม ดื่มแทนน้ำ จะช่วยลดขนาดของเนื้องอก ต้านเซลล์มะเร็ง ทำให้ความเจ็บป่วยน้อยลง
ปรับฮอโมน เพิ่มมวลกระดูก ต้านมะเร็ง นำกระชายมาปอกเปลือกแล้วปั่น แยกกาก กรองไว้แต่น้ำเก็บใส่ตู้เย็นได้หนึ่งเดือน
วิธีรับประทาน รินน้ำกระชายใส่แก้ว ผสมมะนาว1ลูก น้ำผึ้ง1ช้อนโต๊ะ คนให้เค้ากัน แล้วดื่ม ดื่มง่าย รสชาติอร่อย ชื่นใจ
ยาอายุวรรฒนะ สูตรพระเดชพระคุณ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เกลือ3 มะขาม7 บอระเพ็ด5
เวลารับประทานให้สวดมนต์กำกับ แนะนำให้เป็นบทพาหุง มหากา
อีกทางเลือกรักษามะเร็งให้หายขาด
พ่อเลี้ยงวรรณ พิมพนิช เจ้าของรวมเกษตรฟาร์ม มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อเดือนที่แล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆฟัง ดังนี้
พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้งไทยและเยอรมัน ไม่รับรองว่า จะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือเป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรค กลับมาเมืองไทย จึงตั้งเป็นมูลนิธิวรรณ รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ฟรี! ปัจจุบันมีผู้รับการรักษา 2000 กว่าคน ณ อ.แม่สอด ห่างจาก จว.ตาก 100 กม.
เมื่อ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 51 ผมได้มีโอกาสฟังบรรยายการรักษามะเร็งจากพ่อเลี้ยงวรรณ พิมพนิช เจ้าของรวมเกษตรฟาร์ม อยู่ทางภาคเหนือ ท่านได้เล่าให้ผู้ฟังประมาณ 300 คนที่ตั้งใจฟังอย่างมากว่า เมื่อท่านอายุ 60 ปี ได้เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทกันยังบอกเลยว่าอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน
ท่านจึงตัดสินใจไปรักษาที่เกาหลีเหนือ เป็นเวลา 3 เดือน ก็หายจากโรคมะเร็ง แล้วจึงขออยู่ต่อเพื่อทดแทนคุณ แต่ในขณะที่ช่วยงานก็ได้เคล็ดลับการกินอาหารรักษามะเร็งกลับมาเมืองไทย
เมื่อ กลับมาก็ได้ทดลองรักษามะเร็งด้วยการเข้มงวดเรื่องอาหาร เช่น ให้กินแต่ข้าวกล้อง ไม่มีน้ำตาล ฯลฯ อาบน้ำเย็นร้อนสลับกัน และมีหลายคนที่ป่วยได้
ส่วนค่าใช้จ่ายก็เพียง 100 บาท ต่อวัน โดยพ่อเลี้ยงจะส่งวัตถุดิบในการทำอาหารให้ และสำหรับคนที่ไม่มีเงินรักษา พ่อเลี้ยงวรรณก็ได้ตั้งมูลนิธิวรรณเพื่อสงเคราะห์ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ โดยปัจจุบันมีผู้รับการรักษา 2000 กว่าคน ที่อำเภอแม่สอด ห่างจากจังหวัดตากประมาณ 100 กิโลเมตร
สำหรับ สูตรทานอาหารนั้น ในวันที่ผมไปฟัง ไม่ได้มีโอกาสจดเท่าไหร่ แต่บังเอิญว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมได้อีเมล์จากคนส่งต่อ ๆ กันมา และเห็นเป็นพ่อเลี้ยงวรรณเหมือนกัน จึงขอนำมาลงดังนี้
วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้
1. จิตใจ ต้องสู้
2. อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารที่มะเร็งไม่รับประทาน 15 ชนิด ได้แก่
2.1 ธัญพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้อง, ข้าวม้ง, ข้าวบาเล่ย์, ข้าวสาลี, และลูกเดือย
นำมาหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้า
2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่, มันฝรั่ง, หรือมันเทศ, กล้วยน้ำว้าสุก
(8 ลูก/วัน), ฟักทอง, ข้าวโพดหวาน, ยอดแค, ถั่วพู (2 ชนิดนี้ห้ามขาด), บลอคโคลี่
หรือกะหล่ำ ดอก, ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง(ผักผลไม้ 5 ชนิดแรกใช้นึ่ง) นำทั้ง 10
ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อให้กระเพาะอาหาร
ทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก./วันกับธัญพืช
ธัญพืช
3. อาบน้ำร้อนสลับเย็นหรือเย็นสลับร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที 1ครั้ง/วัน
เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อนจัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้งสิ้น 2 จำพวก จะถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
4. ออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที/วัน
ออกกำลังกาย
ขาเคยใกล้ตาย...แล้วก็ไม่ตายแล้ว...
ผม ไปประชุมสัมมนานักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศที่โรงแรมเฟิร์ส กทม. เมื่อวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2551 มีนักประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ประเภทข้าราชการพลเรือนก็ไม่ใช่ บุคลากรทางการศึกษาก็ไม่เชิง แบบว่ามีคำว่า “อื่น”ต่อท้ายไปด้วย
เลยหาชาติพันธ์ไม่เจอ แบบว่าเป็นคนชายขอบประมาณนั้น กลุ่มนักประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นเซคชั่นหนึ่งของ “บุคลากรทางการศึกษาอื่น” ตามมาตรา 38 ค (2) ในพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 จึงต้องมารวมตัวกันเพื่อหานโยบาย แนวทางและระดมวิสัยทัศน์พัฒนา “กลุ่มบุคลากรทางการศึกษาอื่น”ขึ้น โดยมีคุณสมยศ เย็นใจ นักประชาสัมพันธ์ 8 ว ประธานชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศ เป็นแกนนำ และเป็นผู้ที่ได้รับฉันทามติจากสมาชิกชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศให้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่นในคณะ กรรมการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ ก.ค.ศ. แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งจะมีการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 178 เขต เป็นหน่วยเลือกตั้ง
ทีนี้...วันที่ระดมพลแกนนำชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ที่โรงแรมเฟิร์ส เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีสมาชิกจากภาคเหนือ กลาง ใต้ อิสาน มากันหลายคนและก็ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มบุคลากรที่เป็นนักประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากรอื่นๆตามมาสังเกตการณ์ด้วย
ซึ่งก็มีทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี โดยหนึ่งในกลุ่มสุภาพสตรีที่เดินทางมาด้วยคนหนึ่งซึ่งเดินทางร่วมมากับ “คุณเบญ” นักประชาสัมพันธ์ สพท.ร้อยเอ็ด เขต 1 เธอเป็นสุภาพสตรีรูปร่างสันทัด ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสวยสะ แววตาแจ่มใส ผมแอบมองจากหัวโต๊ะในห้องประชุมด้วยเพราะเธอเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม นักประชาสัมพันธ์จังหวัดไหนเอ่ย....ผมถาม “คุณเบญ”ในช่วงเบรกรับกาแฟ
ก็เลยได้ทราบข้อมูลแบบผิวเผินมาว่า เธอชื่อ จันทร์เพ็ญ เกื้อวิทา ตำแหน่งบุคลากร 7ว สพท.ร้อยเอ็ด เขต 1 เป็นชาวกาฬสินธุ์ เดินทางมากทม.พร้อมกับ “คุณเบญ” เพื่อต้องการมาร่วมสนับสนุนและให้กำลังใจคุณสมยศ เย็นใจ ลงสมัครผู้แทน ก.ค.ศ. และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อต้องการเดินทางมาพบ “ผู้มีพระคุณ”ต่อชีวิตเธอคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า “พ่อเลี้ยงวรรณ”
และ ผมก็ทราบในเวลาต่อมาจากปากของคุณจันทร์เพ็ญว่า เธอเป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 บวก 1 โดยแพทย์ได้วินิจฉัยว่า เธอจะมีอายุอีกไม่เกิน 6 เดือน ในขณะที่เพื่อนฝูงและญาติสนิทมิตรสหายของเธอต่างก็ทยอยมาเยี่ยมและคอยดูใจ เวลาผ่านมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 1 ปี คุณจันทร์เพ็ญเธอเดินปร๋อหน้าตาสดใส เค้าหน้า ดวงตาไม่มีร่องรอยอิดโรยที่จะบ่งบอกว่าเป็นคนที่มี “เนื้อร้าย”อยู่ในร่างกายแต่อย่างใด
“พ่อเลี้ยงวรรณ” คือ บุคคลที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดในการประชุมในวันนั้นไป ภาพตัวตนของคุณจันทร์เพ็ญกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของผม อาจจะเป็นเพราะผมมีพื้นฐานต้นทุนความคิดว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ถึงแม้จะไม่ทำคีโม ก็ไม่น่าจะมีสภาพกาย-ใจ ที่สุขสมบูรณ์อย่างนี้ ไม่บอกก็ไม่รู้ ไม่ถามเธอก็ไม่จำเป็นตองตอบให้ใครร้ด้วยซ้ำไป
แต่เมื่อรู้แล้ว...ผมจึงต้องขอขยายผล ซึ่งน่าจะเป็นวิทยาทานชีวิตอีกหลายๆชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่กับโรคมะเร็งร้าย นี้ก็ได้ ที่สำคัญทั้ง “คุณจันทร์เพ็ญ” และสุภาพบุรุษที่ชื่อ “พ่อเลี้ยงวรรณ” ก็ยินดีที่จะให้เปิดเผยเรื่องราว ชีวิตที่เฉียดตายนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยที่ต้องมีพื้นฐานแห่งจิตใจและศรัทธาร่วมกันเป็นเบื้องต้น โดยต้องไม่มีผลประโยชน์ใดใดมาเกี่ยวข้อง
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นวันแรกที่คุณจันทร์เพ็ญกับ “พ่อเลี้ยงวรรณ” มาพบกัน เพื่อ “รับยา”และร่วมรายการวิทยุทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยการสัมภาษณ์สดคุณจันทร์เพ็ญ ทำนองว่า เป็นรายการให้กำลังใจผู้กำลังเผชิญภัยกับสภาพจิตใจที่ท้อถอย ร่างกายเสื่อมทรุด นับถอยหลัง ซ้ำร้ายเงินทองค่าใช้จ่ายก็ไม่มี โดย “มูลนิธิวรรณ” ซึ่งมี “พ่อเลี้ยงวรรณ”เป็นเจ้าของมูลนิธิ เป็นผู้ร่วมสัมภาษณ์
และเมื่อเสร็จสิ้นจากรายการวิทยุ “คุณจันทร์เพ็ญ” เธอก็กลับมาพร้อมกับคุณ “พ่อเลี้ยงวรรณ” โดยบุคลิกของสุภาพบุรุษวัยสูงอายุผมสีดอกเลา ดวงตามีเมตตาธรรม เดินเหินคล่องแคล่วปราดเปรียว วาจาฉาดฉาน ผมก็เลยเชิญ “พ่อเลี้ยงวรรณ” พบปะกับสมาชิกชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท. ในเวลานั้นทันที
ระยะเวลาประมาณ 10 นาที กับวิทยากรมืออาชีพอย่าง “พ่อเลี้ยงวรรณ” ยิ่งทำให้ผมและสมาชิกยิ่งบังเกิดความทึ่งประทับใจ ซึ่งหากจะถ่ายทอดใน BLOG นี้ก็คงต้องใช้เนื้อที่มากทีเดียว ผมจึงขอสรุปสั้นๆเท่าที่ฟังและซึมซับในขณะที่ฟังไปด้วยทำงานอย่างอื่นไปด้วย ในห้องประชุมโรงแรมเฟิร์สในวันนั้น ได้ดังนี้
“พ่อเลี้ยงวรรณ” มีประวัติเป็นคนไข้โรคมะเร็งในกระดูกและข้อซึ่งแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองและโลหิตแล้ว
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ไปรักษาตัวที่ประเทศเกาหลี ด้วยวิธีการเฉพาะทาง ด้วยตัวยาสมุนไพรและวิธีการที่เริ่มต้นด้วยศรัทธาแห่งจิต
“พ่อเลี้ยงวรรณ” หายเป็นปกติ ก้อนเนื้อมะเร็งฝ่อ ออกกำลังกายได้ทุกวัน โดยการวิ่งวันละ 9 กม.
“พ่อเลี้ยงวรรณ” บอกทุกคนว่า “ผมไม่ตายแล้ว”
“พ่อเลี้ยงวรรณ” เป็นวิทยากรบรรยายตามคำเชิญของแพทย์โรงพยาบาลต่างๆ โดยไม่พึงประสงค์ค่าวิทยากร รวมทั้งค่ารถ ค่าอาหารใดๆทั้งสิ้น
“พ่อเลี้ยงวรรณ” เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์มันฝรั่ง “เลย์” เดินทางไปไหนต่อไหนด้วยพาหนะ “เบ็นซ์”พร้อมคนขับ เหตุผลที่ต้องบอกเช่นนี้ก็เพื่ฮให้รู้ว่า พ่อเลี้ยงมีอันจะกิน ไม่พึงประสงค์ที่จะหาผลประโยชน์ใดใดจากการก่อตั้ง “มูลนิธิวรรณ” ส่วนที่ต้องใช้ “เบ็นซ์”ก็เพราะว่าชีวิตเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มาบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็ปลอดภัยเพราะอยู่ใน “เบ็นซ์” ก็เลยรู้สึกอบอุ่น จะถือว่าเป็นการโฆษณาก็ยอม...
“พ่อเลี้ยงวรรณ” มีลูกหลานรวมกว่า 30 คน ทั้งลูกจริงและลูกบุญธรรม โดยทางมูลนิธิให้ทุนช่วยเหลือการศึกษาระดับปริญญาตรีต่อเนื่องทุนละ 3,500 บาทต่อเดือน ปีละ 10 คน จึงทำให้มีลูกๆเย๊อะ...ประมาณนั้น
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ยินดีช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ยากไร้ด้วยความเต็มใจ ไม่คิดเงิน เป็นสาธาณะกุศล
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ยินดีไปบรรยายพิเศษทั่วประเทศ ค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่ากิน ฯลฯ พ่อเลี้ยงวรรณบอกว่า ตนเองออกค่าใช้จ่ายเอง ไม่รบกวนเจ้าภาพ เพราะรวยอยู่แล้ว....ประมาณนั้น
ฯลฯ
ผมถามไปตรงๆว่า เมื่อ “ตัวยา” และ “วิธีการ” ได้ผลอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ประสานวิทยาศาสตร์การแพทย์และทำไมไม่เสนอตัวเข้าไปช่วยคุณยอดรัก สลักใจ หรือคุณหยาด นภาลัย “พ่อเลี้ยงวรรณ” ตอบทันทีว่า วิธีการมันแตกต่างกัน เพราะของมูลนิธิวรรณเริ่มต้นด้วย “จิตศรัทธา”และความมุ่งมั่น ซึ่งวิธีการของ “พ่อเลี้ยงวรรณ”ทุกวันนี้ก็ได้รับเชิญจากคณะแพทย์จากหลายๆโรงพยาบาลไปทำ หน้าที่วิทยากรให้การแนะนำอยู่อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และการที่จะติดต่อรับความช่วยเหลือ “พ่อเลี้ยงวรรณ”ก็ขอพูดคุยกับผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยโดยตรงทางโทรศัพท์ หรือไม่ก็พบปะกับคนไข้โดยตรง โดยไม่ยินดีที่จะให้คำปรึกษาผ่านคนกลาง...
ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือญาติผู้ป่วยหากคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ติดต่อกับ “พ่อเลี้ยงวรรณ” ได้ที่
มูลนิธิวรรณ
3/681 ประชานิเวศน์
ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ
แขวงลาดยาว
กทม
10900
โทร. 086-7886222, 084-3545552, 02-1580658
นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน
กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์
ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ต้น ๆ หลายปีก่อนท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด
คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้ การกินวิตามินเสริม การออกกำลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร คอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหาท่าน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยว และสิ้นหวัง แต่ การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุด เราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียว คือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านกิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง ที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่านหรือไม่
๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด สูดอากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิต แต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่า มะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่า จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่างไร
- คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี
- ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่ และอยากกลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว
ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง ... นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะ ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งทีเดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผมอยู่ในป่าคนเดียว จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการคิดแบบตรงกันข้าม เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง
- มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อเลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย
คือเรา ไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่และวิตามิน ผมอยู่ในป่า อาหารที่กินประจำคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง
- ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ
เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีน ชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค . ศ . ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค . ศ . ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีนและใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะ อาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย
แต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้ เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมัน ที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสียว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า
- คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด ... ใช่ไหมครับ
อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน ในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก กินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรม ดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้
- หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้ว โอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
ก็ เรา เคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดัน หรือท้องเสียไหมล่ะ ขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรียหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลือดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหล่านี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำอย่างไรไม่ให้เครียด
มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะ จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วเข้าปอด เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำสแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี ตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย
- เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดีขึ้น
หากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา พวกนี้เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดี ๆ ออกมาเพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงาน จนกระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทำงานได้เต็มที่ คือ มันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา สามารถสังเคราะห์ได้หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจ็บปวด
- ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผมเปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ลูกสามคนมาให้กำลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที
พระพุทธองค์ท่านบอกว่า จิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่สุด มีอำนาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำ สมาธิ ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่เป็นยิว
- ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับ หรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล
ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ ก็จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็งตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัดและคีโม แต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะมาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
- หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุกวันมันเกิด ออกซิไดซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบ
วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเอง
อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็น ยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้องระวังที่สุด
- คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ำ แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์
อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ ตับเปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน
- แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ
เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ อินซูลิน ออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแป๊บเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ
- คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอน หรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทำงานหนักเนื่องจากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างยังทำงานหนัก พลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกต ดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนักมาก
- นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ไหม
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่างนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทานจะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียม ทำให้เลือดไม่เป็นด่าง
นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่าง เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึง ให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือด
การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมาก เท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอา คาร์บอนไดออกไซด์ ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย มนุษย์อดอาหาร ๔๕ - ๕๐ วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓ - ๕ วัน แต่อากาศหายใจ ขาดเพียง ๘ - ๑๐ นาทีเท่านั้น อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไป ทำให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทำให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อยล้า
- คุณหมอพอจะแนะนำหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหมครับ
เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย ครั้งแรก กลั้นไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กลั้นไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลง อ้าปากเอาพิษออกให้หมด ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่ ปอดท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสียออกมาเต็มที่ ปอดมีความจุสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่ อากาศเข้าออกเพียงครึ่งลิตรเท่านั้น บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรองตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เราต้องบริหารการหายใจ จะทำให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด
- แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยการเตะฟุตบอล
นั่นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ แต่เป็นการออกกำลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป็ น unaerobic เราต้องรู้ว่าการออกกำลังกายแบบ aerobic กับ unaerobic เป็นยังไง การออกกำลังกายแบบ aerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่ unaerobic ได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยังทำผิด เต้น ๆ แล้วเกร็ง เครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่แอโรบิก แอโรบิกทำแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียด ให้สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิดกรด ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทุกวันนี้ นักฟุตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มีใครอายุยืน ... ไม่มีเลย เพราะร่างกายมันเสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็วและให้ถูกแสงแดด เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออกกำลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล
- คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสู ง คนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนำให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอด อาหารแต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน
- การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีกครับ
ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม เขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ ๗๕ , ๐๐๐ ล้านเซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่า .... เหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้ามาทำลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้ วิตามินซีเป็น แอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด เวลาฉีดวิตามินซี ทำไมคนไข้สงบเร็วเพราะมันไปลด อีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิดการอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามินซี ๔ - ๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ ถ้าคนที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก
- เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่
ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ ถ้าส้มหนึ่งลูก เก็บไว้เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย ดังนั้นถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พันลูก
- กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ
วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมงแล้วจะถูกขับออกมา แต่ก่อนเขาบอกวิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็น ออกซาลิกเอซิด แล้วพอตกไปกระเพาะปัสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิดมีน้อยมากเพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำ มันจะออกหมดภายในสองชั่วโมงไม่ได้สะสม บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไปดื่มน้ำน้อย
วิตามินซีมีสามรูป แอสคอมิกเอซิด แคลเซียมแอสคอเบด โซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิด เป็นกรด แคลเซียมแอสคอเบด กับ โซเดียมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลง ถ้าเรากินวิตามินซีพวกนี้เข้าไป จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไปจะเป็นแอสคอมิกเอซิด ซึ่งเป็นกรด กินเข้าไปแล้ว ขับถ่ายออกมาเร็ว ถ้าเรากินน้ำน้อย ตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบ ฉะนั้นจึงบอก ให้ดื่มน้ำมาก ๆ
- เหตุใดคุณหมอให้ความสำคัญกับการกินวิตามินมากครับ
คนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สิ่งแวดล้อมทำให้เรารับอนุมูลอิสระหรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกาย เราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่เพียงพอ ตามปรกติจะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ำกว่า ๔ - ๕ กรัมต่อวัน เป็นขนาดที่เพียงพอสำหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิต้านกินหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย ก็ลองกิน ๖ - ๑๒ กรัมดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมือง เราเป็นหวัดหรือไม่ ไม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตำราของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาของแพทย์ตะวันตกที่ ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว จึงมี การสอนกันว่าเรื่องการให้เกลือแร่ วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น
- หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมออีกประการคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหม
พอเราเกิดมาปุ๊บ จะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาว ปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตรจะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาวระหว่างห้าพันถึงหนึ่ง หมื่น ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราแล้ว คือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทำให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความป่วยไข้อีกอย่าง เป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯ ในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็งเหมือนบ้านเมืองนี้ มีโจรแต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งคือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารหรือภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่งพวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉยๆ แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอพวกนี้เล่นงานก่อนนอนก็ไม่ได้นอน ไปเที่ยวกลางคืนกำลังกายก็ไม่ออก ทหารตำรวจก็อ่อนแอ มะเร็งก็เล่นงานเลย
- มีวิธีสร้างภูมิต้านกินอย่างไร
ทำได้หลายวิธี อาทิ ออกกำลังกายหรือเดินให้ได้รับแสงแดด แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไปกระตุ้น ต่อม ไพเนียล ใต้สมองให้หลั่ง สารเอ็นโดฟิน ออกมาซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุข และระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน ๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมา เรามีความสุข มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่งทันที มันไปกระตุ้น ต่อมไทรอย และต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเรา ให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่าเริ่มสร้างภูมิต้านกินแล้ว และการยิ้มหัวเราะคลายเครียดแต่ละครั้งก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วย นอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลตยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี วิตามินดีจะไปช่วยให้ แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูกกลับเข้าไปในกระดูก ลดคลอเลสเตอรอล ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส แคลเซี่ยม แมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไปสู้ วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติจากแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้
- ไส้ติ่งก็เป็นประโยชน์แก่ภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย แต่แพทย์ปัจจุบันแนะนำให้ตัดออก
สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่มารบในสงคราม ทุกคนต้องผ่าตัดไส้ติ่งหมดเพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงคราม ตัดหมดทุกคนเลย ไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้านกินหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์เขารู้ว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงครามเขาเอาเรื่องรัฐบาลว่ามาตัดไส้ติ่งเขาหมด รัฐบาลปิดปากเงียบเลย
ข่าวดี!
พบวิธีรักษามะเร็งใหม่
ซึ่งรักษาหนูหาย 100 เปอร์เซ็นต์
นักวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเวค ฟอเรสต์
ประกาศว่า
พร้อมแล้วที่จะทดลองใช้
การรักษามะเร็งวิธีใหม่กับคนไข้
เพราะเคยรักษาหนูทดลองหายมาแล้ว
เพื่อจะดูว่าได้ผลแบบเดียวกันหรือไม่
วิธีการรักษาแบบใหม่
ใช้การถ่ายเลือดทางหลอดเลือด
ถ่ายเซลล์เลือดขาว
ให้กับคนไข้โรคมะเร็ง
ระยะลุกลามมากแล้ว
วิธีการรักษาแบบนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ
จากการศึกษาจากหนู
ที่ทนกับมะเร็งได้
และการนำเซลล์เลือดขาวจากหนูพวกนี้
มาศึกษาต่อ
พบว่า มันมีฤทธิ์สามารถรักษาหนู
ที่เป็นลูกหลานของมัน
ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ
ให้หายได้ 100%
การศึกษาซึ่งได้รับอนุมัติ
จากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ
แล้วครั้งนี้
จะได้ถ่ายเซลล์เลือดขาว
ที่เรียกว่า แกรนูโลไซต์
ให้กับคนไข้โรคมะเร็ง
โดยได้เซลล์เลือดขาว
จากคนหนุ่มที่แข็งแรง
และระบบภูมิคุ้มโรค
สามารถผลิตเซลล์
ซึ่งสามารถต่อสู้มะเร็ง
ได้อย่างเข้มแข็ง
หัวหน้าคณะนักวิจัยเผยว่า
“ในการทดลองกับหนู
เราสามารถกำจัดมะเร็ง
ในระยะลุกลามอย่างรุนแรง
จนเป็นก้อนเนื้อร้ายขนาดใหญ่
ลงได้หมด
และเราก็หวังว่า
จะได้ผลในคนแบบเดียวกัน
เพราะในการศึกษาในห้องทดลอง
ก็มีท่าทีว่า
ความสามารถต่อต้านมะเร็ง
ในตัวคนที่แข็งแรงนั้น
จะยิ่งกล้าแข็งขึ้น”
ขอขอบคุณ
ข้อมูลจาก "ไทยรัฐ"
การรักษามะเร็งปากมดลูก (cervical cancer)
Last Updated on Thursday, 26 March 2009 08:55
การรักษามะเร็งปากมดลูก (cervical cancer) มีหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด การฉายแสง การใช้ยาเคมีบำบัด หรือหลายวิธีร่วมกัน เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว ควรทำใจยอมรับความจริง และปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว ต้องเข้าใจว่าโรคมะเร็งปากมดลูกรักษาได้ โอกาสหายมี ถึงแม้จะเป็นระยะที่ค่อนข้างมากแล้วก็ตาม บางรายหายไปมากกว่าสิบปี ก็ไม่พบการกลับมาเป็นซ้ำอีก
ข้อดีของการรักษามะเร็งปากมดลูก ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดอาการที่เป็น ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เมื่อเทียบกับการไม่รักษา ถ้าเป็นมะเร็งแล้วไม่รักษา โดยธรรมชาติของมะเร็ง จะลุกลามและแพร่กระจาย ถึงแม้ในกรณีที่รักษาไม่หายขาด ก็ยังจะสามารถยืดชีวิตให้ยาวนานออกไปอีก เช่น จาก 2 ปี กลายเป็น 5-10 ปี
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรี และเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิงไทย พบได้ในอัตรา 25 คนต่อผู้หญิงไทย 1 แสนคน มะเร็งปากมดลูกแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะก่อนลุกลาม ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ และ ระยะลุกลาม โรคนี้มักพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีฐานะยากจนและการศึกษาต่ำ มีความเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ และการศึกษาถึงระบาดวิทยาของโรคพบว่าโรคนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคทางเพศ สัมพันธ์ เช่น การมีความสำส่อนทางเพศ หรือพบร่วมกับการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์บางชนิด ปัจจุบันพบว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะ เพศ เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
อาการของมะเร็งปากมดลูก
- ระยะเริ่มแรก จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่มักตรวจพบเมื่อเข้ารับการตรวจภายใน และตรวจ Pap Smear ในการตรวจร่างกายประจำปี
- การมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น มีเลือดออกกะปริบกะปรอย
- อาการตกขาวเรื้อรัง ปวดท้องน้อย
- อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย
ปัจจัยที่มีผลต่อวิธีการรักษามะเร็งปากมดลูก
- ระยะ ของมะเร็งปากมดลูก ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาเลือกวิธีการรักษา ทั้งนี้เพื่อให้ได้วิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 เป็นน้อยๆ วิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นระยะที่ 2 ระยะที่ 3 การผ่าตัดจะไม่ได้ผล และจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แพทย์จะใช้การฉายแสงร่วมกับเคมีบำบัด แพทย์ผู้รักษาสามารถให้ข้อมูลได้ว่าแต่ละคนควรจะใช้วิธีใดดีที่สุด วิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้
- ความต้องการธำรงภาวะเจริญพันธุ์
- โรคทางนรีเวชที่เป็นร่วมด้วย
การรักษามะเร็งปากมดลูกตามระยะของมะเร็ง
- ระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม
- ระยะลุกลาม
การรักษามะเร็งปากมดลูกระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม
- การ ตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายใน การทำแพปสเมียร์ และการตรวจด้วยกล้องขยาย ทุก 4-6 เดือน รอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1-2 ปี ภายหลังการตัดเนื้อออกตรวจ
- การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
- การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
- การจี้ด้วยเลเซอร์
- การ ตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด ยิ่งรู้ตัวเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำให้หายขาดได้ เช่น เซลล์เริ่มเปลี่ยนแปลง หรือเป็นมากขึ้นก่อนระยะลุกลาม ก็จะสามารถจี้หรือตัดออกได้
- การ ผ่าตัดมีหลายวิธี แบบดั้งเดิมคือผ่าตัดด้วยการเปิดหน้าท้องผ่า เลาะเอามดลูกและต่อมน้ำเหลืองออกมา หรือการฉายแสง แต่ปัจจุบันใช้วิธีส่องกล้อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ คือ เจาะรูเข้าผ่าตัด เอามดลูก เอาต่อมน้ำเหลืองออกมาทางช่องคลอด
- การ ฉายแสงจะเป็นที่นิยมมากในกรณีที่ป่วยเกินระยะที่ 1 ไปแล้ว คือระยะที่ 2, 3, 4 เพราะการผ่าตัดอาจเอาอวัยวะออกมาไม่ครอบคลุมเหมือนการส่องกล้อง ซึ่งเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษาได้มากขึ้น
- รอย โรคในระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลามสามารถรักษาให้หายได้โดยไม่จำเป็น ต้องตัดมดลูกออก เพราะมีผลการรักษาไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
การรักษามะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลาม
การเลือกวิธีรักษาขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วย ระยะของมะเร็ง และความพร้อมของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ดูแลรักษา โดย ทั่วไปการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย นิยมรักษาโดยการตัดมดลูกออกแบบกว้าง ร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกรานออก ส่วนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2 ถึงระยะที่ 4 รักษาโดยการฉายรังสีร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งซึ่งมีโอกาสรับการรักษาให้หายขาดจากโรคได้สูงเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น แพทย์พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงในการรักษาแต่ละวิธีและโอกาสที่จะหายจากโรคว่าวิธี ใดสูงกว่ากัน การผ่าตัดนั้นมักจะใช้ ในผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีความเสี่ยงต่อการดมยาสลบและการผ่าตัดต่ำ และมักจะใช้ในผู้ป่วยที่โรคยังจำกัดที่บริเวณปากมดลูกเท่านั้น สำหรับการรักษาทางรังสีนั้นสามารถที่จะให้การรักษาในผู้ป่วยทุกรายและ ทุกระยะของโรค เนื่องจากรังสีรักษาครอบคลุมบริเวณกว้างไม่ใช่เฉพาะบริเวณปากมดลูกเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงต่อมน้ำเหลืองต่างๆ ในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมะเร็งอาจจะกระจายไปบริเวณนั้นได้ ผู้ป่วยรายใดที่สามารถรับการรักษาโดยการผ่าตัดก็สามารถรักษาทางรังสีรักษา ให้หายจากโรคได้เช่นกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยบางรายเกิดจาก ความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่แพทย์ตัดสินให้รับการรักษาทางรังสีรักษา ผู้ป่วยได้รับข้อมูลผิด ๆ ว่ารังสีรักษาทำให้โรคกระจาย ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยหรือญาติหรือคนข้างบ้านเห็นผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่น ซึ่งมักจะเป็นผู้ป่วยอยู่ในระยะสุดท้ายของโรคและได้รับการรักษาโดยรังสี รักษาแล้วไม่ได้ผล
การรักษามะเร็งปากมดลูกโดยวิธีอื่น ๆ ได้แก่ การ รักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัดซึ่งใช้ในผู้ป่วยบางรายที่มีการกระจายของโรคออกไปนอก เหนือจากบริเวณที่จะทำการผ่าตัดได้หรือฉายรังสีครอบคลุมไม่ได้หมด นอก จากนี้ยังมีการรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น การรักษาโดยให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการผ่าตัด การรักษาทางรังสีร่วมกับการผ่าตัด หรือการรักษาโดยยาเคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษา เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและให้คำแนะนำถึงแนวทางในการรักษาร่วมกับผู้ป่วย และญาติเป็นรายๆ ไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรคในอัตราสูงสุด
ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งปากมดลูก
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่อาจเกิดได้ ได้แก่ การตกเลือด การติดเชื้อ อันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง ส่วนผลข้างเคียงจากการฉายแสงในระยะเวลา 1-2 เดือน ได้แก่ ผิวแห้ง ปัสสาวะมีเลือดปน อ่อนเพลีย สำหรับผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ได้แก่ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มือเท้าชา ซึ่งขึ้นกับยาแต่ละชนิดที่เลือกใช้
ผลการรักษามะเร็งปากมดลูก
โอกาสเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกไม่ได้เกิดขึ้นทันที ขึ้นกับระยะของโรค ระยะน้อยๆ โอกาสหายมีมากกว่า แต่ถ้าเป็นระยะมากๆ โอกาสหายจะน้อย ในประทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่หนึ่งน้อย แต่พบระยะที่ 2 มาก ทำให้อัตราการรอดชีวิตไม่ดีเท่าที่ควร ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 6,000 คนต่อปี เสียชีวิตประมาณร้อยละ 50 ราวๆ เกือบ 3,000 คนต่อปี คนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 7 คนต่อวัน ซึ่งถือเป็นมะเร็งนรีเวชที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตมากที่สุด
มะเร็งปากมดลูกในขณะตั้งครรภ์
- พบโรคมะเร็งปากมดลูกได้ 1 : 660-2,400 ในสตรีที่ตั้งครรภ์ ผู้ ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก จะพบว่ามีการตั้งครรภ์ร่วมด้วยร้อยละ 1-2 อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในขณะตั้งครรภ์น้อยกว่าผู้ป่วยมะเร็งปาก มดลูกที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ 10-15 ปี และไม่พบว่ามี การแพร่กระจายของมะเร็งไปสู่ทารก
- การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในขณะตั้งครรภ์ ปัญหา ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่เพียงการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกของแม่เท่านั้น แต่ยังจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทารกในครรภ์ร่วมด้วย จำเป็นต้องพิจารณาอายุของทารกในครรภ์ และระยะของโรคมะเร็งปากมดลูกของแม่ ปัจจุบันพบว่าการตั้งครรภ์ไม่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมะเร็ง
- ในกรณีที่เป็นมะเร็งปากมดลูกชนิดไม่ลุกลาม การรักษาขึ้นกับความปรารถนาของมารดา โดยเฉพาะถ้าเป็นบุตรคนแรก เนื่องจากไม่พบว่าการล่าช้าในการรักษา 3-4 เดือน เพื่อรอให้ทารกคลอดมีชีวิตจะมีผลกระทบต่อผลการรักษาแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ใช้การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นหลัก
- ในกรณีที่เป็นมะเร็งปากมดลูกชนิดลุกลาม อายุครรภ์อยู่ในไตรมาสแรก พิจารณาให้การรักษาเหมือนประหนึ่งว่าไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ถ้าเป็นโรคในระยะที่ 1 อาจเลือกใช้วิธีการผ่าตัดหรือใช้รังสีรักษาก็ได้ ถ้าเลือกรังสีรักษาก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำแท้งก่อน แต่จะแนะนำให้ใช้การฉายรังสีจากภายนอกก่อน ร้อยละ 70 ของทารกจะแท้งออกมาได้เองใน 4-6 สัปดาห์ หรือก่อนปริมาณรังสีครบ 4,000 cGy แต่ถ้าไม่แท้ง ก็จะต้องทำผ่าตัดทำแท้ง แล้วตามด้วยการใส่แร่ในโพรงมดลูกและช่องคลอดทันที หลังจากมดลูกหดรัดตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
- ในกรณีที่เป็นมะเร็งปากมดลูกชนิดลุกลาม อายุครรภ์อยู่ในไตรมาสที่สอง ภาวะนี้จะต้องพิจารณาทำการผ่าตัดมดลูกก่อน แล้วค่อยตามด้วยการรักษาตามระยะของโรค
- ในกรณีที่เป็นมะเร็งปากมดลูกชนิดลุกลาม อายุครรภ์อยู่ในไตรมาสที่สาม การรักษาในภาวะนี้ อาจจะรอจนกระทั่งเด็กในครรภ์คลอดมีชีวิตก่อน โดยการทำผ่าตัดเด็กออกทางหน้าท้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะรอนานไม่เกิน 8 สัปดาห์ แล้วรักษาตามระยะของโรค การใช้รังสีรักษาสามารถจะเริ่มการรักษาได้ภายใน 10 วัน หลังการผ่าตัดเด็กออกทางหน้าท้อง โดยเริ่มจากการฉายรังสีจากภายนอกก่อนแล้วค่อยตามด้วยการใส่แร่ในโพรงมดลูก และช่องคลอด
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ ที่นี่
ข่าวสุขภาพ
ใครนอนไม่หลับทั้งคืน…มาทางนี้!!
เพราะครั้งนี้ทีมงานไ้ด้นำเคล็ดลับดีๆมาฝากกันเกี่ยวกับคนที่นอนไม่ค่อยจะหลับไม่ว่าจะพยายามข่มตาหลับสักเพียงใดก็ตาม |
โทษของการกินน้ำตาลมากเกินไป
การกินน้ำตาลเป็นการให้พลังงานแก่ร่ายกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก... |
รักษาโรคพยาธิด้วยมะเกลือ
ทราบหรือไม่ว่า มะเกลือมีสรรพคุณสามารถใช้รักษาโรคพยาธิได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก... |
สเปนพบสารออกฤทธิ์ในกัญชา ต้านเซลล์มะเร็งในสมองได้
ถึง จะเป็นพืชอันตราย ที่ทำให้ผู้เสพเกิดอาการประสาทหลอน แต่นักวิทย์สเปนกลับพบว่า สารสำคัญในกัญชามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งในสมองได้ดี โดยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งทำลายตัวเอง อนาคตหวังพัฒนายาต้านมะเร็งจากพืชยาเสพติดชนิดดังกล่าว |
ผิวสวยด้วยคอลลาเจน
ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินคำว่า ผิวสวยด้วยคอลลาเจน แล้วทราบหรือไม่ว่า คอลลาเจน คืออะไร วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก... |
4 ชนิดอาหารที่เด็กวัยคลานมักจะ "แพ้"
เกิดเป็นเด็กยุคนี้ มีเรื่องให้ต้องระวังกันมากขึ้น เริ่มตั้งแต่อาหารการกินกันเลยทีเดียว ซึ่งจากหัวข้อที่เกริ่นไว้เกี่ยวกับการแพ้อาหารนั้น หลายท่านเองคงทราบว่า การ"แพ้" ในลักษณะนี้ ยังไม่มียาที่สามารถรักษาอาการแพ้ได้ถาวร การหลีกเลี่ยงจึงเป็นทางเลือกเดียวที่คุณพ่อคุณแม่พยายามทำให้ลูกได้ ซึ่ง 4 ชนิดอาหารที่มักแพ้ในเด็กได้แก่ |
ลดความอ้วนแบบนี้ สิบปีก็ไม่เห็นผล
เมื่อกล่าวถึงวิถีชีวิตหนุ่ม/สาวอวบ (อ้วน) ที่ต้องผจญอากาศร้อนของชุมชนเมือง แถมด้วยฝุ่น-ควันพิษ-ท่อไอเสีย-ความเครียด-การแข่งขัน เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน หลายคนจึงใช้โอกาสนี้หลบร้อนเข้าไปนั่งในร้านอาหารติดแอร์ สั่งอาหารชุดใหญ่ น้ำอัดลมซาบซ่า พร้อมหวานเย็นตบท้าย ก่อนจะจ่ายเงินอย่างสบายอารมณ์ มีพลังกลับขึ้นไปเครียดกับงานกองใหญ่ได้อีกครั้ง |